บทที่ 1: ทำไมกลยุทธ์จึงสำคัญ?
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมี กลยุทธ์ ที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดและความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก สตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง คุณไม่สามารถปล่อยให้ธุรกิจดำเนินไปตามยถากรรมได้อีกต่อไป
โลกที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อธุรกิจ
ลองนึกภาพเมื่อ 20 ปีก่อน ธุรกิจส่วนใหญ่อาจวางแผนระยะยาว 5-10 ปีได้อย่างสบายๆ เพราะเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ได้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเท่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้ โลกหมุนเร็วขึ้นจนเราแทบตั้งตัวไม่ทัน:
เทคโนโลยีดิจิทัล: AI, Big Data, Cloud Computing, และ IoT ไม่ได้เป็นเพียงคำศัพท์สวยหรูอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่เข้ามาพลิกโฉมการดำเนินธุรกิจ การตลาด การผลิต และการบริการลูกค้า
พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคยุคใหม่มีความคาดหวังสูงขึ้น ต้องการความรวดเร็ว ความเฉพาะเจาะจง และประสบการณ์ที่ดี พวกเขามีอำนาจในการเลือกและสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
การแข่งขันที่รุนแรง: คู่แข่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทในประเทศอีกต่อไป แต่รวมถึงผู้เล่นระดับโลกและสตาร์ทอัพหน้าใหม่ที่มาพร้อมนวัตกรรม disruptive
ความผันผวนทางเศรษฐกิจและสังคม: วิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น โรคระบาด, ภาวะเงินเฟ้อ, หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการตัดสินใจของผู้บริโภค
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การไม่มีกลยุทธ์ก็ไม่ต่างกับการล่องเรือกลางมหาสมุทรที่ไร้เข็มทิศ คุณอาจโชคดีไปถึงฝั่งได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว คุณจะหลงทางและจมลงในที่สุด
ความแตกต่างระหว่างยุทธวิธีและกลยุทธ์
บ่อยครั้งที่คนมักสับสนระหว่าง กลยุทธ์ (Strategy) กับ ยุทธวิธี (Tactics) แม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่ทั้งสองสิ่งนี้มีบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
กลยุทธ์: คือ "ทำอะไร" และ "ทำไม" เป็นแผนการใหญ่ที่กำหนดทิศทางในระยะยาวขององค์กร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด กลยุทธ์ตอบคำถามว่า:
เราต้องการไปที่ไหน? (วิสัยทัศน์)
เราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร? (เส้นทางหลัก)
อะไรคือข้อได้เปรียบในการแข่งขันของเรา?
เราจะจัดสรรทรัพยากรอย่างไร?
ยุทธวิธี: คือ "ทำอย่างไร" เป็นขั้นตอนหรือการกระทำเฉพาะเจาะจงในระยะสั้นถึงปานกลาง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์หลัก ยุทธวิธีตอบคำถามว่า:
เราจะทำแคมเปญการตลาดแบบไหน?
เราจะลดต้นทุนอย่างไร?
เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อไหร่?
เราจะใช้ช่องทางไหนในการเข้าถึงลูกค้า?
ลองนึกภาพนักฟุตบอล: กลยุทธ์ อาจเป็นการตัดสินใจว่าจะเล่นเกมรับหรือเกมรุก จะใช้แผน 4-4-2 หรือ 3-5-2 ส่วน ยุทธวิธี คือการส่งลูกสั้น, การเตะมุม, หรือการประกบตัวผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม กลยุทธ์ที่ดีจะไร้ความหมายหากไม่มีการนำไปปฏิบัติด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสม และยุทธวิธีที่ดีก็อาจไร้ประโยชน์หากไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
กรณีศึกษา: ความสำเร็จและความล้มเหลวที่เกิดจากกลยุทธ์
การเข้าใจความสำคัญของกลยุทธ์จะชัดเจนขึ้นเมื่อเราดูตัวอย่างจริง:
กรณีศึกษาความสำเร็จ: Netflix ย้อนกลับไปในช่วงต้น Netflix เริ่มต้นจากการเป็นบริการเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็น ยุทธวิธี ที่โดดเด่นในยุคนั้น แต่ กลยุทธ์ ที่แท้จริงของพวกเขาคือการทำความเข้าใจอนาคตของความบันเทิง ผู้บริหาร Netflix เล็งเห็นถึงศักยภาพของอินเทอร์เน็ตและการสตรีมมิ่ง พวกเขาตัดสินใจที่จะ "ฆ่า" ธุรกิจดีวีดีของตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งเต็มตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงแต่สร้างการเติบโตอย่างมหาศาล พวกเขาลงทุนในเทคโนโลยีการสตรีมมิ่งและที่สำคัญกว่านั้นคือการผลิตคอนเทนต์ออริจินัลที่ดึงดูดใจผู้คน กลยุทธ์นี้ทำให้ Netflix กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งระดับโลก
กรณีศึกษาความล้มเหลว: Blockbuster ในทางกลับกัน Blockbuster ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเช่าภาพยนตร์ในอดีต ก็พลาดโอกาสสำคัญ พวกเขามีโอกาสที่จะซื้อ Netflix ในช่วงแรกเริ่ม แต่ปฏิเสธไป เพราะมองว่าธุรกิจดีวีดีทางไปรษณีย์ไม่มีอนาคต กลยุทธ์ของ Blockbuster คือการยึดติดกับโมเดลธุรกิจร้านค้าปลีกและค่าปรับล่าช้า แทนที่จะมองไปข้างหน้าและปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีดิจิทัล พวกเขาล้มเหลวในการอ่านทิศทางของตลาดและไม่สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที ผลลัพธ์คือการล้มละลายในที่สุด
ทั้งสองกรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและกล้าที่จะปรับเปลี่ยนเมื่อจำเป็น คือกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะในระยะยาว การยึดติดกับวิธีการเดิมๆ โดยปราศจากการมองเห็นภาพรวมและทิศทางในอนาคต จะนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด
ในบทต่อไป เราจะเจาะลึกถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เพราะก่อนที่เราจะวางแผนว่าจะไปที่ไหน เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเราอยู่ที่ไหน และมีอะไรอยู่รอบตัวเราบ้าง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น