บทที่ 4: ประเภทของกลยุทธ์
เมื่อเราเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดทิศทางในอนาคต (วิสัยทัศน์และพันธกิจ) ได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้าง แผนการ ที่จะนำพาเราไปสู่จุดหมายนั้น แผนการนี้คือ กลยุทธ์ ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือพิมพ์เขียวสู่ความสำเร็จของเรา
โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 3 ระดับหลัก ๆ ได้แก่ กลยุทธ์ระดับองค์กร, กลยุทธ์ระดับธุรกิจ, และกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ
กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate-Level Strategy)
กลยุทธ์ระดับองค์กรเป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางโดยรวมของบริษัทในภาพใหญ่ กำหนดว่าองค์กรจะดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง และจะจัดสรรทรัพยากรไปอย่างไร เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น กลยุทธ์ประเภทนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการเติบโต การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจต่าง ๆ หรือการถอนตัวจากธุรกิจที่ไม่ทำกำไร
กลยุทธ์การขยายตัว (Growth Strategies): มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มขนาดขององค์กร ส่วนแบ่งการตลาด หรือยอดขาย มีหลายรูปแบบ เช่น:
การเจาะตลาด (Market Penetration): เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเดิมในตลาดเดิม เช่น การทำโปรโมชั่น, เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย, หรือเพิ่มความถี่ในการซื้อ
การพัฒนาตลาด (Market Development): นำผลิตภัณฑ์หรือบริการเดิมไปสู่ตลาดใหม่ เช่น การขยายไปยังภูมิภาคอื่น หรือกลุ่มลูกค้าใหม่
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development): สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่สำหรับตลาดเดิม เช่น การออกรุ่นใหม่, การเพิ่มฟังก์ชัน, หรือการปรับปรุงคุณภาพ
การกระจายความเสี่ยง (Diversification): เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เพื่อลดความเสี่ยงและหาแหล่งรายได้ใหม่ เช่น บริษัทผลิตรถยนต์หันไปลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด การกระจายความเสี่ยงยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็น:
Related Diversification: ธุรกิจใหม่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิม เช่น การใช้เทคโนโลยีหรือความรู้ร่วมกัน
Unrelated Diversification: ธุรกิจใหม่ไม่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมเลย
กลยุทธ์การคงที่ (Stability Strategies): มุ่งเน้นไปที่การรักษาขนาดและส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบัน เหมาะสมเมื่อตลาดอิ่มตัว หรือองค์กรอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องการความเสี่ยงมากนัก เช่น การคงสถานะทางธุรกิจเดิม
กลยุทธ์การถดถอย (Retrenchment Strategies): เมื่อองค์กรเผชิญกับปัญหา หรือต้องการปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอด เช่น:
การลดขนาด (Downsizing): ลดพนักงาน หรือลดขนาดการดำเนินงาน
การถอนตัว (Divestiture): ขายธุรกิจบางส่วนที่ไม่ทำกำไร หรือไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก
การเลิกกิจการ (Liquidation): การปิดตัวธุรกิจทั้งหมด
กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business-Level Strategy)
กลยุทธ์ระดับธุรกิจมุ่งเน้นไปที่ว่า "เราจะแข่งขันอย่างไร" ในแต่ละธุรกิจหรือแต่ละหน่วยธุรกิจย่อย เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง กลยุทธ์ที่โด่งดังที่สุดคือ Generic Strategies ของ Michael Porter:
กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership): มุ่งเน้นการเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม โดยยังคงคุณภาพของสินค้าในระดับที่ยอมรับได้ เป้าหมายคือการเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งเพื่อดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Walmart หรือสายการบินต้นทุนต่ำ
ข้อได้เปรียบ: สามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะที่ราคาแข่งขันสูง หรือสามารถกำหนดราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด
ข้อควรระวัง: อาจต้องยอมลดทอนคุณสมบัติบางอย่าง, มีความเสี่ยงหากคู่แข่งรายใหม่เข้ามาพร้อมเทคโนโลยีที่ประหยัดต้นทุนกว่า
กลยุทธ์ความแตกต่าง (Differentiation): มุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่งในสายตาของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น Apple ที่เน้นการออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้ หรือแบรนด์สินค้าหรูหรา
ข้อได้เปรียบ: สามารถกำหนดราคาที่สูงขึ้น, สร้างความภักดีของลูกค้า, และมีกำไรต่อหน่วยสูง
ข้อควรระวัง: การลอกเลียนแบบจากคู่แข่ง, ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
กลยุทธ์มุ่งเน้น (Focus Strategy): มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้ากลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มเฉพาะ (Niche Market) ไม่ว่าจะด้วยการเป็นผู้นำด้านต้นทุน หรือการสร้างความแตกต่างก็ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นตลาดรถสปอร์ตหรูหรา หรือร้านอาหารที่เน้นอาหารวีแกนออร์แกนิกเท่านั้น
ข้อได้เปรียบ: มีความเชี่ยวชาญในตลาดเฉพาะ, เข้าใจความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้นอย่างลึกซึ้ง
ข้อควรระวัง: ตลาด Niche อาจมีขนาดเล็ก, มีความเสี่ยงหากความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไป
กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional/Operational-Level Strategy)
กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการคือแผนการในแต่ละหน่วยงานหรือแต่ละฝ่ายภายในองค์กร เช่น ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายการเงิน, ฝ่ายปฏิบัติการ, ฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกลยุทธ์ระดับธุรกิจและระดับองค์กรให้บรรลุผล
กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy): กำหนดว่าจะนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการอย่างไร, ช่องทางจัดจำหน่าย, การตั้งราคา, และการส่งเสริมการขาย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างยอดขาย (4Ps: Product, Price, Place, Promotion)
กลยุทธ์การเงิน (Financial Strategy): การจัดหาเงินทุน, การบริหารจัดการงบประมาณ, การลงทุน, และการจัดการกระแสเงินสด เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและสร้างผลตอบแทนสูงสุด
กลยุทธ์การปฏิบัติการ (Operations Strategy): การจัดการกระบวนการผลิตหรือการให้บริการ, การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain), การควบคุมคุณภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
กลยุทธ์ทรัพยากรบุคคล (Human Resources Strategy): การสรรหา, การพัฒนา, การรักษาพนักงาน, การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ เพื่อให้องค์กรมีบุคลากรที่มีความสามารถและแรงจูงใจ
การเลือกและผสมผสานกลยุทธ์ในแต่ละระดับอย่างลงตัวเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่สามารถเชื่อมโยงกลยุทธ์ทุกระดับเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกส่วนขององค์กรทำงานไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
ในบทถัดไป เราจะพาคุณไปรู้จักกับเครื่องมือและกรอบการทำงานที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์และออกแบบกลยุทธ์ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหา "มหาสมุทรสีคราม" หรือการวัดผลกลยุทธ์ด้วย Balanced Scorecard.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น